Google Analytics 4

×

เที่ยวอินเดียด้วยตัวเอง :


คุยกันก่อนนะครับ


แนะนำแผนการท่องเที่ยวอินเดีย


ควรรู้ก่อนเดินทางไปเที่ยวอินเดีย


เตรียมตัวก่อนเดินทางไปเที่ยวอินเดีย


การเดินทางในอินเดีย


พาเที่ยวอินเดีย


ก่อนเดินทางกลับจากเที่ยวอินเดีย


เกร็ดความรู้เพิ่มเติม










India India ข้อมูลเที่ยวอินเดียเนปาลด้วยตัวเอง และชมรูปภาพ วีดีโอคลิป อินเดีย เนปาล พร้อมข้อมูลประกอบ


1/7/59
เที่ยวอินเดีย : สถานที่น่าสนใจ


สถานที่ที่น่าสนใจในประเทศอินเดีย และเนปาลนั้นมีเป็นจำนวนมากนะครับ แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ได้แก่

สังเวชนียสถาน 4 ตำบล

(ในแผนที่แสดงเป็นรูปดาวนะครับ) คือ

    จุดที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
  1. สถานที่ประสูติ คือสถานที่ที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติจากพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา ใต้ต้นสาละในสวนลุมพินีวัน ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (80 ปีก่อนพุทธศักราช) ซึ่งปัจจุบันเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าลุมพินี (Lumbini) หรือรุมมินเด (Rummindei) อยู่ในประเทศเนปาลครับ ในระหว่างทางที่พระนางสิริมหามายาเสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ โดยตั้งพระทัยว่าจะเสด็จกลับไปประสูติพระกุมารที่กรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ


  2. ต้นพระศรีมหาโพธิ์
    รุ่นที่ 4
  3. สถานที่ตรัสรู้ คือสถานที่ที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 ปี ในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา หลังทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา ปัจจุบันเรียกสถานที่นี้ว่าพุทธคยา (Bodhgaya) อยู่ในเมืองคยา (Gaya) รัฐพิหาร (Bihar) ประเทศอินเดียครับ


  4. ธรรมเมกขสถูป
  5. สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา คือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (การหมุนกงล้อแห่งธรรม) โปรดปัญจวัคคีย์ ในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี แคว้นกาสี เมื่อทรงแสดงธรรมจบท่านโกญฑัญญะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ทำให้มีพระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ในวันนั้น ปัจจุบันเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า สารนาถ (Sarnath) อยู่ในเมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดียครับ


  6. มหาปรินิพพานเจดีย์
  7. สถานที่ปรินิพพาน คือที่ใต้ต้นสาละ หรือต้นรังคู่ ในสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (กุสินคร) แคว้นมัลละ เมื่อพระชนมายุ 80 ปี ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ หลังทรงเทศนาสั่งสอนมาเป็นเวลา 45 ปี ปัจจุบันอยู่ในเมืองกุสินารา (Kushinagar) รัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) ประเทศอินเดียครับ

สถานที่สำคัญอื่นๆ

(ในแผนที่แสดงเป็นรูปสี่เหลี่ยมนะครับ) ได้แก่
  • กรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ของแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล มีเหตุการณ์และสถานที่สำคัญหลายที่ เช่น พระมูลคันธกุฎี ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ สวนเวฬุวันวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา

    ซึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญที่ทำให้กรุงราชคฤห์โดดเด่นกว่าเมืองอื่นๆ ก็คือ สถานที่สำคัญในกรุงราชคฤห์นั้น ส่วนใหญ่เป็นของจริงที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเลยครับ เช่น พระมูลคันธกุฎี คือซากกุฏิของพระพุทธเจ้าที่ยอดเขาคิชฌกูฏนั้น ก็น่าเชื่อว่าเป็นของดั้งเดิมตั้งแต่สมัยพุทธกาล หรืออย่างถ้ำสุกรขาตาที่พระสารีบุตรบรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้ำพระโมคคัลลานะ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ก็ล้วนเป็นของแท้ดั้งเดิมเช่นกันครับ

    พระมูลคันธกุฎี และถ้ำต่างๆ
    บนเขาคิชฌกูฏ
    ในขณะที่เมืองอื่นๆ นั้น แทบทั้งหมดเป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่ตรงนั้นเท่านั้นครับ เช่น สถานที่ตรัสรู้นั้นถึงแม้จะมีต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่ก็จริง แต่ก็เป็นรุ่นที่ 4 ที่สืบเชื้อสายมา ไม่ใช่ต้นดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ส่วนสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ก็ล้วนสร้างขึ้นมาภายหลังทั้งสิ้นครับ ทั้งมหาโพธิมหาวิหาร และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่

  • เมืองนาลันทา ห่างจากเมืองราชคฤห์แค่ประมาณ 12 กม. เป็นบ้านเกิดของพระอัครสาวกทั้งสอง คือพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนาลันทา หรือนาลันทามหาวิหาร มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะถูกกองทัพมุสลิมเติร์กบุกเข้ามาสังหารพระภิกษุจนแทบหมดสิ้น แล้วเผาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทาจนย่อยยับ เมื่อประมาณ พ.ศ. 1742 ครับ

    ส่วนหนึ่งของ
    มหาวิทยาลัยนาลันทา
    ถึงแม้พระอาจารย์และนักศึกษาที่เหลือรอดอยู่ประมาณ 70 รูป จะช่วยกันซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ แต่ก็ถูกปริพาชก 2 คน เผาซ้ำในเวลาต่อมา จนมหาวิทยาลัยนาลันทาแหลกลาญเกินที่จะบูรณะขึ้นมาได้อีกครับ จึงถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2403 มหาวิทยาลัยนาลันทาจึงได้เปิดเผยตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากการสำรวจและขุดค้นของนายพลคันนิ่งแฮม ในสมัยที่อังกฤษปกครองอินเดียครับ

    พระถังซัมจั๋งก็เคยมาศึกษาและอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้หลายปีนะครับ โดยเป็นนักศึกษาอยู่ 5 ปี และเป็นอาจารย์อีก 1 ปี ในสมัยที่มหาวิทยาลัยนาลันทากำลังเจริญรุ่งเรือง เห็นว่าท่านมีชื่อเสียงมากด้วยครับ และเมื่อท่านกลับเมืองจีนไปไม่นาน พวกมุสลิมก็บุกเข้ามา

  • กรุงสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล เป็นอีก 1 ใน 2 ของแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุดถึง 25 พรรษาเลยครับ จึงมีเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติเกิดขึ้นที่เมืองนี้มากมาย เป็นที่ตั้งของวัดที่สำคัญ 2 วัดคือ วัดเชตวันมหาวิหาร ซึ่งถวายโดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นวัดที่พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ถึง 19 พรรษาครับ

    บริเวณภายในเชตวันมหาวิหาร
    สาวัตถี
    และวัดบุพพารามมหาวิหาร ซึ่งถวายโดยนางวิสาขามหาอุบาสิกา ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ 6 พรรษาครับ เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เป็นเมืองที่เกิดเรื่องราวขององคุลีมาล พระเทวทัตก็ถูกแผ่นดินสูบที่เมืองนี้ด้วยครับ

  • เมืองพาราณสี ถึงแม้บริเวณตัวเมืองพาราณสีจะไม่มีสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนา (นอกจากสารนาถซึ่งอยู่นอกเมือง) แต่เมืองนี้ก็เป็นเมืองที่น่าสนใจเมืองหนึ่งนะครับ เพราะเป็นเมืองโบราณที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีโบราณของศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์เอาไว้อย่างเหนียวแน่นครับ ซึ่งวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ และคำสอนเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ครอบงำความคิด การกระทำ และวิถีชีวิตของคนในชมพูทวีปอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะประสูติขึ้นมา

    หลังเสร็จพิธีอารตี (บูชาไฟ)
    ริมแม่น้ำคงคา
    และพระพุทธองค์ก็ทรงใช้เวลาถึง 45 พรรษา ตรากตรำพระวรกายเพื่อเทศนาสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นจากความเชื่ออันเป็นมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้ ทรงแสดงทางสายกลางเพื่อให้พ้นจากการปฏิบัติที่สุดโต่งทั้งสอง คือการลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณ และการทรมานตัวเองโดยเปล่าประโยชน์ ทรงแสดงอนัตตลักษณะเพื่อให้พ้นจากความรู้สึกว่าเป็นเรา เป็นของของเรา อันเป็นจุดเริ่มต้นของความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ซึ่งเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจทั้งปวงครับ

    ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทเพื่อให้เห็นเหตุปัจจัยของการเกิดการดับ และการพ้นจากการเกิดและการดับนั้น เพื่อให้พ้นจากทิฏฐิทั้งสอง คือ สัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) และอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) ดังที่ทรงกล่าวว่า บางพวกก็ไปไม่ถึง บางพวกก็เลยไป คือไม่เข้าใจตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งปวงนั้นเมื่อมีเหตุให้เกิดก็เกิด เมื่อหมดเหตุให้เกิดก็ไม่เกิด คือเมื่อยังมีตัณหาอยู่ตราบใด ก็ยังเกิดอยู่ตราบนั้น เมื่อตัณหาสิ้นไป ก็พ้นจากการเกิด เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป็นอัตตาตัวตน หรือสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน


ไปหน้าสารบัญ

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น